กองทุน K-ATECH ลงทุนหุ้นเทคเอเชียระดับ Top 10 ของโลก
Top 10 หุ้นเทคที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นบริษัทเอเชียถึง 3 บริษัท
ได้แก่ TSMC (ไต้หวัน), Tencent Holdings (จีน), Samsung Electronics (เกาหลี) ขณะที่อีก 7 บริษัทเป็นของสหรัฐฯ (ที่มา Companiesmarketcap.com 24 มี.ค 66)
เอเชียจะก้าวขึ้นเป็นอีกหนึ่ง Technology Hub ของโลก
หุ้นเทคเอเชียคือคู่แข่งเทคยักษ์ใหญ่ของโลกในหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มผู้ผลิตชิป TSMC และ Samsung เทียบกับ Intel และกลุ่มธุรกิจเกม SEA, Tencent เทียบกับ Electronic Arts (EA)
มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีในเอเชียถูกกว่าหุ้นเทคสหรัฐฯ* บริษัทมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น และมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
เทรนด์ขององค์กรรัฐ เอกชน และผู้บริโภค ที่ปรับตัว เข้าสู่โลกดิจิตอลเป็นประโยชน์ต่อซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, E-commerce และรถยนต์ไฟฟ้า
*มูลค่าเปรียบเทียบจาก Forward P/E Ratio โดยเป็นการเทียบระหว่าง ดัชนี MSCI AC Asia Pacific Tech 100 ดัชนี MSCI US Tech 125 (ที่มา: Bloomberg 24 มี.ค. 66)
เพราะลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Pacific Technology - Class C (acc) – USD
ได้แก่ การบริโภคผ่านช่องทางดิจิตอล (Digitalized Consumption), การเปลี่ยนแปลงภาคองค์กร (Enterprise Transformation) และผู้นำอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Leaders)
บริษัทสัญชาติไต้หวัน ผู้ผลิตชิปที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก ผลิตชิปให้หลายแบรนด์ดัง อาทิ Apple, NVIDIA, Tesla โดดเด่นด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย และ Scale ขนาดใหญ่ช่วยลดต้นทุนในการผลิต
บริษัทสัญชาติเกาหลี ผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ครองส่วนแบ่งตลาดมือถืออันดับ 1 ของโลก รวมถึงธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องใช้สำนักงาน และส่วนประกรอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำอันดับ 2 ของโลก และเป็นบริษัท เซมิคอนดักเตอร์ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก สัญชาติเกาหลี
บริษัทชั้นนำของระบบอัตโนมัติในโรงงาน (Automation) สัญชาติญี่ปุ่น ได้รับประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงที่สูงขึ้น
ผู้นำตลาดค้าปลีกออนไลน์ (E-commerce) อันดับ 1 ของจีน คาดว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากจีนเป็นตลาด E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นับแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2540
ได้คัดสรรหุ้นเทคที่มีความน่าสนใจก่อนที่จะกลายมาเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น TSMC, Keyence, Tencent และ Alibaba
ประเด็นที่กดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเอเชียในช่วงที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายลงแล้ว โดยในปี 2566 รัฐบาลจีนมีการผ่อนคลายการควบคุมธุรกิจจีน ออกนโยบายหนุนการฟื้นตัวของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ รวมถึงการเปิดประเทศที่เร็วกว่าตลาดคาด ซึ่งช่วยหนุนให้เศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียฟื้นตัว
เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ได้แก่ High-Speed Computing, 5G, AI, Automation และนโยบายทั่วโลกที่สนับสนุน Carbon Neutrality หนุนความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ EV และ E-commerce ยังเติบโตได้อีกมากในอาเซียนและญี่ปุ่น อีกทั้งภาคองค์การยังต้องอัพเกรดเทคโนโลยีหลังจากไม่ได้มีการลงทุนหลายปี ปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้ในระยะยาว
ข้อมูล ณ ม.ค. 2566
กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สื่อ และการสื่อสาร ซึ่งถ้าแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรมจะพบว่า กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม IT ซึ่งกระจายการลงทุนในไปใน 3 กลุ่มย่อย (Semiconductor, Software & Services และ Technology Hardware) อีกทั้งยังมีการกระจายไปในกลุ่ม Communication Services, Consumer Discretionary และ Industrials นอกจากนี้กองทุนหลักอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare Technology
กองทุนหลักมีสัดส่วนลงทุนในประเทศชั้นนำของเอเชีย เช่น จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย สามารถดูสัดส่วนล่าสุดได้ที่ Fund Fact Sheet)
ไม่ซ้ำซ้อน เนื่องจากกองทุนหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทสหรัฐฯหรือบริษัทที่มีรายได้ส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกา ซึ่งแตกต่างจากกองทุน K-ATECH ที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สื่อ และการสื่อสารในทวีปเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น
เนื่องจาก K-ATECH ลงทุนใน Share Class ที่เพิ่งมีการจัดตั้งสำหรับนักลงทุนสถาบันขึ้นมาใหม่ ทำให้ไม่มีข้อมูลผลการดำเนินงานย้อนหลัง จึงแนะนำให้ใช้ Share Class (acc) - USD ซึ่งเป็น Class ที่มีผลการดำเนินงานยาวที่สุดจัดตั้ง 15 สิงหาคม 1997
https://finance.yahoo.com/quote/HK0000055761.HK/
https://am.jpmorgan.com/hk/en/asset-management/per/products/jpmorgan-pacific-technology-acc-usd-hk0000055761
ควรถืออย่างน้อย 5 ปี โดยไม่ควรลงทุนเพื่อเน้นทำกำไรระยะสั้น เนื่องจากกองทุนมีความผันผวนสูงจากการลงทุนหุ้นจำนวน 25-35 ตัว
ไม่ควร เนื่องจากภาวะตลาดในปัจจุบันมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นการจับจังหวะตลาดเพื่อเข้าลงทุนด้วยการดูหุ้นรายตัวจึงทำได้ยาก และมีโอกาสที่จะขาดทุนอยู่สูง อย่างไรก็ดี แนะนำให้ลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ด้วยวิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average: DCA) เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากความผันผวน
ผู้จัดการกองทุน KAsset จะทำการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน และส่งคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุนไปที่ต่างประเทศ
สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมได้เองทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องไปสาขา โดยเตรียมเลขที่บัญชีออมทรัพย์ และข้อมูลตามบัตรประชาชนให้เรียบร้อย
สำหรับผู้ที่มีบัญชีกองทุนรวมอยู่แล้ว กดซื้อได้เลยง่ายๆ ผ่านแอป K PLUS หรือ K-My Funds และช่องทางออนไลน์ที่ K-Cyber Invest หรือที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา